ในยุคที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหว หรือความผันผวนของตลาดการเงิน เงินสำรองฉุกเฉินจึงกลายเป็นเกราะป้องกันสำคัญที่ทุกคนควรมีติดตัว แต่คำถามที่หลายคนสงสัยคือ “เงินสำรองฉุกเฉินควรมีเท่าไหร่?” โดยเฉพาะในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่ค่าครองชีพสูงขึ้น การออมให้ได้ตามเป้าหมาย 6 เดือนถึง 1 ปีอาจเป็นเรื่องท้าทาย
เงินสำรองฉุกเฉินคืออะไร?
เงินสำรองฉุกเฉินคือเงินที่เราสะสมไว้เพื่อรองรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันในชีวิต เช่น การตกงาน การเจ็บป่วยกะทันหัน อุบัติเหตุ หรือค่าใช้จ่ายฉุกเฉินอื่นๆ ที่ไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า เงินก้อนนี้จำเป็นต้องมีสภาพคล่องสูง สามารถนำออกมาใช้ได้ทันทีเมื่อต้องการ โดยอาจอยู่ในรูปแบบของเงินฝากธนาคาร บัญชีออมทรัพย์ หรือการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและสามารถแปลงเป็นเงินสดได้รวดเร็ว เช่น กองทุนรวมตลาดเงิน
ทำไมต้องมีเงินสำรองฉุกเฉิน?
1. ลดความเครียดทางการเงิน
เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน การมีเงินสำรองพร้อมใช้จะช่วยบรรเทาความกังวลและความเครียดได้อย่างมาก ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า ค่าอาหาร หรือค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่นๆ
2. ป้องกันการเป็นหนี้
เมื่อไม่มีเงินสำรอง หลายคนมักแก้ปัญหาด้วยการกู้ยืมหรือใช้บัตรเครดิต ซึ่งมาพร้อมกับดอกเบี้ยสูง การมีเงินสำรองฉุกเฉินจะช่วยให้คุณไม่ต้องพึ่งพาเงินกู้ยืม ที่อาจนำไปสู่วงจรหนี้สินที่ยากจะหลุดพ้น
3. เพิ่มอิสรภาพทางการเงิน
เงินสำรองทำให้คุณมีทางเลือกมากขึ้นในชีวิต เช่น สามารถลาออกจากงานที่ไม่มีความสุขเพื่อหาโอกาสใหม่ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายระหว่างหางาน
4. เสริมสร้างวินัยและการวางแผนการเงิน
การสร้างเงินสำรองฉุกเฉินเป็นการฝึกวินัยในการออมและการบริหารเงิน เมื่อคุณจัดสรรรายได้ส่วนหนึ่งไว้เป็นเงินสำรอง คุณจะต้องวางแผนการใช้จ่ายกับเงินที่เหลืออย่างรอบคอบมากขึ้น
เงินสำรองฉุกเฉินควรมีเท่าไหร่?
โดยทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินมักแนะนำให้มีเงินสำรองฉุกเฉินประมาณ 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน แต่จำนวนที่เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อาชีพ สถานะครอบครัว ภาระหนี้สิน และรูปแบบการใช้ชีวิต
สามารถแบ่งตามกลุ่มอาชีพได้ดังนี้:
กลุ่มพนักงานเอกชน
ควรมีเงินสำรองฉุกเฉิน 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน เนื่องจากแม้จะมีรายได้ประจำแต่มีความเสี่ยงที่จะตกงานได้หากบริษัทประสบปัญหาหรือเศรษฐกิจถดถอย
กลุ่มข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
อาจเก็บเงินสำรองฉุกเฉินน้อยกว่า ประมาณ 2-4 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน เพราะมีความมั่นคงในอาชีพสูงกว่า โอกาสตกงานน้อย
กลุ่มอาชีพอิสระหรือธุรกิจส่วนตัว
ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินมากกว่า ประมาณ 6-12 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน เนื่องจากรายได้ไม่แน่นอน อาจมีช่วงที่ธุรกิจซบเซาหรือไม่มีงานเข้า
ปัจจัยที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม
สถานะครอบครัว
คนโสดอาจต้องการเงินสำรองน้อยกว่าคนที่มีครอบครัวและบุตรที่ต้องดูแล
สุขภาพ
ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือมีความเสี่ยงด้านสุขภาพสูงควรมีเงินสำรองมากกว่าเพื่อรองรับค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้น
ภาระหนี้สิน
หากมีภาระหนี้สินมาก ควรมีเงินสำรองมากขึ้นเพื่อให้สามารถผ่อนชำระได้ต่อเนื่องแม้ในยามฉุกเฉิน
เครือข่ายสนับสนุน
หากมีครอบครัวหรือเพื่อนที่พร้อมให้ความช่วยเหลือในยามจำเป็น อาจพิจารณาเก็บเงินสำรองน้อยลง
วิธีสร้างเงินสำรองฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ
1. ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน
คำนวณค่าใช้จ่ายจำเป็นต่อเดือนและตั้งเป้าหมายว่าต้องการมีเงินสำรองกี่เดือน
2. ออมอย่างสม่ำเสมอ
จัดสรรรายได้ส่วนหนึ่งเพื่อเติมเงินสำรองทุกเดือน โดยอาจตั้งระบบออมอัตโนมัติเพื่อให้มีวินัยมากขึ้น
3. เริ่มจากจำนวนเล็กๆ
หากยังไม่เคยมีเงินสำรอง ให้เริ่มจากเป้าหมายเล็กๆ ก่อน เช่น 1 เดือนของค่าใช้จ่าย แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น
4. ใช้เงินโบนัสหรือเงินก้อนพิเศษ
นำเงินโบนัส เงินคืนภาษี หรือรายได้พิเศษมาเพิ่มเงินสำรองให้เร็วขึ้น
5. เลือกที่เก็บที่เหมาะสม
ควรเก็บในบัญชีที่เข้าถึงง่าย มีสภาพคล่องสูง แต่แยกจากบัญชีที่ใช้จ่ายประจำ เพื่อลดการนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
ความสมดุลระหว่างการออมและการลงทุน
การมีเงินสำรองฉุกเฉินมากเกินไปอาจทำให้เสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าจากการลงทุน ในขณะที่การมีน้อยเกินไปก็อาจไม่เพียงพอเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ดังนั้น การหาจุดสมดุลจึงเป็นสิ่งสำคัญ
บางผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้แบ่งเงินสำรองเป็นสองส่วน คือ ส่วนที่ต้องพร้อมใช้ทันที (1-3 เดือนของค่าใช้จ่าย) เก็บไว้ในบัญชีออมทรัพย์ และส่วนที่เหลือ (3-9 เดือน) อาจนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำแต่ให้ผลตอบแทนดีกว่า เช่น กองทุนรวมตลาดเงิน หรือพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น
สรุป
เงินสำรองฉุกเฉินเป็นเสาหลักสำคัญของความมั่นคงทางการเงิน แม้จะไม่มีตัวเลขตายตัวว่าควรมีเท่าไหร่ แต่การพิจารณาจากปัจจัยส่วนบุคคล สถานะครอบครัว และความมั่นคงในอาชีพจะช่วยให้คุณกำหนดจำนวนที่เหมาะสมได้ สิ่งสำคัญคือต้องเริ่มสร้างเงินสำรองตั้งแต่วันนี้ แม้จะเป็นจำนวนเล็กน้อย เพราะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เงินสำรองนี้จะเป็นเกราะป้องกันให้คุณผ่านพ้นวิกฤตได้อย่างมั่นคง และมีทางเลือกมากกว่าในการดำเนินชีวิต โดยไม่ต้องพึ่งพาการก่อหนี้ที่อาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงินที่ยากจะแก้ไขในอนาคต