“ฟิลลิป” ประเมินตลาดหุ้นไทยเช้านี้ ดัชนี SET Index แกว่งตัวแคบระหว่าง 1,655-1,670 จุด ระวังแรงเทขายทำกำไรหลังตลาดเริ่มตึงตัว ปรับตัวขึ้นมาในช่วง 3 วัน เกือบ 30 จุด และระยะสั้นตลาดขาดปัจจัยหนุนใหม่ รอติดตามผลการประชุม OPEC+ วันนี้
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานแนวโน้มตลาดหุ้นไทยว่า ดัชนี SET Index เช้านี้แกว่งตัวแคบในกรอบระหว่าง 1,655-1,670 จุด เริ่มตึงตัว เนื่องจาก 1.SET Index ปรับตัวขึ้นมาเกือบ 30 จุดในช่วง 3 วันทำการและระยะสั้นตลาดขาดปัจจัยหนุนใหม่ จึงอาจเผชิญแรงขายทำกำไรออกมาบางส่วน 2.ราคาน้ำมันดิบชะลอการปรับขึ้นเล็กน้อยระหว่างรอติดตามผลการประชุม OPEC+ วันนี้ และ 3.หลายตลาดในภูมิภาคยังคงปิดทำการเนื่องในเทศกาลตรุษจีน ทำให้วอลุ่มยังซบเซาต่อ
โดยรวมจึงคาดตลาดยังไปไหนไม่ได้ไกล แต่ตราบเท่าที่ SET Index ยังยืนเหนือ 1,650 จุด ก็ยังมีโอกาสไปทดสอบแนวต้าน 1,670-1,680 จุดตามลำดับ
โดยกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเลือกหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวในธีม 1.หุ้นที่คาดผลประกอบการไตรมาส 4/64 ออกมาดี 2.หุ้นรับประโยชน์งานประมูลช่วงต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีม่วง เลือก SEAFCO เป็น Top Pick ส่วนการจัดพอร์ตแนะนำเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นกลุ่ม Value Play ที่คาดจะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยวและเปิดเมือง ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงสามารถก็งกำไรระยะสั้นในหุ้นเทคโนโลยีและหุ้นเติบโตที่ราคาปรับตัวลงไปแรงมากก่อนหน้านี้
ด้านแบงค์ออฟอเมริกาหรือ BAC ออกรายงานคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ในปีนี้ว่า Fed มีโอกาสจะปรับขึ้นดอกเบี้ยถึง 7 ครั้ง หรือในทุกการประชุมตั้งแต่เดือน มี.ค. 2565 เป็นต้นไปเดือนละ 25 bps หรือ 0.25% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสิ้นปีอยู่ที่ 1.75-2.00%
นอกจากนี้ยังมองว่าในปี 2566 ทาง Fed จะยังขึ้นดอกเบี้ยต่อไปจนถึง 2.75-3.00% เพื่อจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อ ก่อนที่จะมีการทบทวนนโยบายทางการเงิน
วันนี้ติดตามการประชม OPEC+ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินการประชุมของ OPEC+ จะยังคงเพิ่มกำลังการผลิต 400,000 บาร์เรลต่อวัน ในเดือน มี.ค. 2565 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงจากความกังวลการแพร่ระบาดของโอมิครอนที่แนวโน้มคลี่คลายและทาง OPEC+ ใช้ยุทธศาสตร์ค่อยเพิ่มทีละน้อยต่ำกว่าขีดความสามารถมาตั้งแต่ปี 2564
ส่วนประเด็นความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน-สหรัฐ ยังคงเป็นปัจยที่ประเมินได้ยากแต่จะส่งผลต่อราคาพลังงานหากเกิดภาวะสงครามขึ้นโดยเชื่อว่ารัสเซียจะระงับการส่งก๊าซไปยังทวีปยุโรป ส่งผลให้ราคาก๊าซพุ่งขึ้นแรงและความต้องการใช้น้ำมันจะยิ่งสูงขึ้น
ล่าสุดความคืบหน้าการเจรจาระหว่าง 2 ฝ่ายยังไม่ดีนักโดยสหรัฐย้ำว่าหากรัสเซียไม่ต้องการให้เกิดภาวะสงคราม ต้องถอนทหารออกจากชายแดนยูเครน
ขณะที่นายจอร์จ โซรอส “พ่อมดการเงิน” ได้กล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับจีนว่าขณะนี้จีนกำลังประสบปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ที่รุมเร้าในภาคอสังหาริมทรัพย์ และประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ทำให้จีนเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ทั้งนี้โซรอสเป็นหนึ่งในบุคคลที่ออกมาโจมตีการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างต่อเนื่อง และเตือนว่าการลงทุนในจีนมีความเสี่ยงสูงจากการถูกควบคุมโดยรัฐบาลจีน
อ้างอิง
https://www.prachachat.net/finance