บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยและเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง เคมีภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ ได้รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2568 ที่ไม่สู้ดีนัก โดยกำไรสุทธิลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 1,099 ล้านบาท สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความท้าทายที่บริษัทกำลังเผชิญในสภาวะตลาดปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจเคมิคอลส์และบรรจุภัณฑ์
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการลดลงของกำไร
การลดลงของกำไรในไตรมาสแรกของปี 2568 มีสาเหตุหลายประการ ประการแรกและสำคัญที่สุดคือ การลดลงของส่วนแบ่งกำไรจากบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) ซึ่งในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ SCGC มีกำไรพิเศษจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ ทำให้ฐานของการเปรียบเทียบสูงกว่าปกติ นอกจากนี้ ในไตรมาสที่ 1/2568 ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมของ SCGC ก็ลดลงเช่นกัน
อีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการคือ การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายจากโครงการลองเซินปิโตรเคมิคอลส์ คอมเพล็กซ์ (LSP) ในประเทศเวียดนาม โดยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้มาจากค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ย ซึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนขนาดใหญ่ของบริษัทในโครงการนี้
นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของธุรกิจแพคเกจจิ้งหรือบรรจุภัณฑ์ (SCGP) ก็ลดลงเช่นกัน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กดดันผลกำไรโดยรวมของบริษัท
การเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
แม้ว่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลกำไรจะลดลงอย่างมาก แต่หากเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 จะพบว่าบริษัทมีการฟื้นตัวที่น่าสนใจ โดยในไตรมาสที่ 4/2567 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 512 ล้านบาท แต่สามารถพลิกกลับมามีกำไร 1,099 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1/2568
การฟื้นตัวนี้เป็นผลมาจากการบริหารจัดการภายในและการปรับปรุงประสิทธิภาพของทุกธุรกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปัจจัยความต้องการตามฤดูกาลที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากเอสซีจีเคมิคอลส์และเอสซีจีพีก็มีส่วนช่วยให้ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า
ตัวเลขสำคัญทางการเงิน
ในด้านรายได้จากการขาย บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 124,392 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1/2568 ซึ่งลดลง 5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากปริมาณขายที่ลดลงของเอสซีจีเคมิคอลส์ โดยเฉพาะจากโรงงาน LSP ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการปรับตัวของการดำเนินงานหรือสภาวะตลาดในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาที่ EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) บริษัทมี EBITDA อยู่ที่ 12,889 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยการเพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการดำเนินงานของเอสซีจีเคมิคอลส์และจากการบริหารจัดการภายในอย่างต่อเนื่องของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง
ผลกระทบต่อราคาหุ้น
ผลประกอบการที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของนักลงทุนส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อราคาหุ้นของบริษัท โดยนับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 ราคาหุ้น SCC ได้ปรับตัวลดลงอย่างมาก และในวันที่มีการประกาศผลประกอบการ (30 เมษายน 2568) ราคาหุ้นปิดตลาดช่วงเช้าอยู่ที่ 152.50 บาท ลดลงถึง 15.50 บาท หรือคิดเป็น 9.22% ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนต่อแนวโน้มการดำเนินงานของบริษัทในอนาคต
มุมมองและแนวโน้มในอนาคต
แม้ว่าไตรมาสแรกของปี 2568 จะเป็นไตรมาสที่ท้าทายสำหรับ SCC แต่มีสัญญาณบวกบางประการที่นักลงทุนควรพิจารณา การที่บริษัทสามารถพลิกกลับมามีกำไรหลังจากขาดทุนในไตรมาสก่อนหน้าแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของ EBITDA เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้จะเพียงเล็กน้อย ก็แสดงให้เห็นว่าการดำเนินงานหลักของบริษัทยังมีความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง ซึ่งได้รับประโยชน์จากความต้องการตามฤดูกาลที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญสำหรับ SCC ในอนาคตอันใกล้จะอยู่ที่การบริหารจัดการต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากโครงการ LSP และการฟื้นฟูผลการดำเนินงานของธุรกิจเคมิคอลส์และบรรจุภัณฑ์ให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง รวมถึงการรับมือกับสภาวะตลาดที่ผันผวนในปัจจุบัน
สรุป
ผลประกอบการไตรมาสที่ 1/2568 ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่บริษัทกำลังเผชิญ โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจเคมิคอลส์และบรรจุภัณฑ์ การลดลงของกำไรถึง 55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญสำหรับผู้บริหารและนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทสามารถพลิกกลับมามีกำไรหลังจากขาดทุนในไตรมาสก่อนหน้า และการเพิ่มขึ้นของ EBITDA แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการฟื้นตัว การบริหารจัดการภายในและการปรับปรุงประสิทธิภาพของทุกธุรกิจจะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาบริษัทให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปได้ นักลงทุนควรติดตามการพัฒนาของโครงการ LSP ในเวียดนาม และแนวโน้มของธุรกิจเคมิคอลส์และบรรจุภัณฑ์อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินทิศทางการเติบโตของ SCC ในระยะกลางถึงระยะยาวต่อไป